ข่าว

สจล. เผยโฉม “รถไฟไทยทำ” หรูหราและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ด้วยทุนสนับสนุนจาก บพข. เตรียมส่งมอบเพื่อใช้ในกิจการของ รฟท. กันยายนนี้

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดผลงานพัฒนารถไฟโดยสารต้นแบบ (รถไฟไทยทำ) ในชื่อรถไฟ “สุดขอบฟ้า (Beyond Horizon)” โมเดลรถไฟโดยสารต้นแบบสุดหรูหรา ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย ใช้วัสดุและอุตสาหกรรมภายในประเทศในการประกอบตู้รถไฟชนิด Luxury Class และ Super-Luxury ที่หรูหราและทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ภายใต้การสนับสนุนทุนจาก บพข. เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟระยะกลางในแนวเส้นทางรถไฟรางคู่ระยะ 200-500 กิโลเมตร และรถไฟท่องเที่ยวในแนวเส้นทางของ รฟท. เพื่อแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำและรถยนต์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2566 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) นำโดย รศ. ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต บพข. เข้าตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการวิจัยและพัฒนารถไฟโดยสารต้นแบบ (รถไฟไทยทำ) โดยนักวิจัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ กิจการร่วมค้า ไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจาก บพข. เพื่อพัฒนาตู้รถไฟโดยสารต้นแบบที่เน้นการวิจัยพัฒนาและรวบรวมเทคโนโลยีพื้นฐานที่มีอยู่ภายในประเทศเป็นหลัก รองรับนโยบาย Thai First ของกระทรวงคมนาคมและนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ใช้ผลิตภัณฑ์สินค้าที่ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบรางของประเทศที่ต้องการให้มีตัวรถไฟที่จะมีการซื้อ-ขาย ในอนาคต ต้องมีส่วนประกอบหรือชิ้นส่วนผลิตในประเทศ (Local Content) ไม่น้อยกว่า 40% ซึ่งคาดการณ์ว่าต่อจากนี้ไปอีก 20 ปี จะมีความต้องการตู้รถไฟโดยสารไม่น้อยกว่า 2,425 ตู้ จากการเพิ่มขึ้นของทางรถไฟที่รัฐได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารถไฟต่อตู้ เฉลี่ยตู้ละ 50 ล้านบาท รวมมูลค่าสำหรับตลาดการผลิตตู้รถไฟโดยสารประมาณ 100,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตัวรถไฟ (Rolling Stock) จัดเป็นแก่นของเทคโนโลยีที่มีความสำคัญใน value chain ของระบบราง จากการนำเข้าสินค้าประเภทตัวรถไฟและส่วนประกอบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ถึง 2561 มีมูลค่าสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับมูลค่ารวมของสินค้าทุกประเภทในระบบราง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะต้องเร่งสร้างผู้ผลิตใน supply chain ที่มีความพร้อม ด้วย R&D (Research and Development) และ Tech Localization เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมขนส่งทางรางของไทย

รศ.ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล คณะบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. หัวหน้าโครงการวิจัย เผยถึงจุดเด่นของรถไฟว่า “โครงการนี้มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาและรวบรวมเทคโนโลยีพื้นฐานที่มีอยู่ภายในประเทศเป็นหลัก ร่วมกับการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตชิ้นส่วนที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยตั้งเป้าต้องดำเนินการโดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศได้ไม่น้อยกว่า 40% ตามนโยบาย Thai First ของรัฐบาล ซึ่งโครงการนี้เราสามารถสร้างรถไฟโดยสารต้นแบบพร้อมอุปกรณ์ที่มี local content คิดเป็น 44.1% ของมูลค่าสินค้ากรณีรวมแคร่รถไฟ และหากคิดเฉพาะตู้รถโดยสารพร้อมอุปกรณ์ประกอบไม่รวมแคร่รถไฟจะมีมูลค่า local content ถึง 76% โดยเราได้ออกแบบตัวรถเองทั้งหมด ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินชั้นธุรกิจและชั้นเฟิร์สคลาสในรถไฟความเร็วสูง มีที่นั่งจำนวน 25 ที่ ประกอบด้วยชั้น Super Luxury 8 ที่นั่ง และชั้น Luxury 17 ที่นั่ง ทุกที่นั่งมีจอภาพส่วนตัวสำหรับให้บริการด้านความบันเทิงและสั่งอาหาร ซึ่งจะมีพนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์นำอาหารมาส่งถึงที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีระบบห้องน้ำสุญญากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน โดยราคาค่าโดยสารนั้นเท่ากับตั๋วแบบนอนของ รฟท. การพัฒนาต้นแบบในครั้งนี้เราได้รับทุนสนับสนุนจาก บพข. และจากกิจการร่วมค้า ไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด ซึ่งเป็นเอกชนผู้ร่วมลงทุนในโครงการ หากคิดเฉพาะค่าจัดทำต้นแบบไม่รวมค่าครุภัณฑ์และค่าดำเนินการวิจัย ตู้รถไฟของเราใช้ต้นทุนอยู่ที่ 32.4 ล้านบาท ซึ่งมีความคุ้มค่ากว่าการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาตัวรถให้มีน้ำหนักที่เบาลง จากการออกแบบด้วยระบบ Space Frame Modular Concept และแคร่รถไฟที่ทำความเร็วได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกด้วย ซึ่งเราได้มีการจดทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากโครงการแล้วจำนวน 7 ผลงาน และโครงการของเรายังมีผู้ประกอบการที่สามารถผลิตและประกอบได้ในประเทศมากกว่า 10 บริษัทเข้าร่วมในโครงการ จึงเป็นการช่วยสร้างระบบนิเวศน์อุตสาหกรรมการผลิตรถขนส่งทางรางและสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมระบบรางตลอดห่วงโซ่การผลิต”

ด้าน รศ. ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต บพข. กล่าวถึงบทบาทของ บพข. ในการสนับสนุนโครงการนี้ว่า “โครงการนี้ บพข. ได้ให้ทุนสนับสนุนโดยที่มีภาคเอกชนร่วมลงทุนด้วยเป็นการยืนยันว่าภาคเอกชนต้องการทำโครงการนี้อย่างจริงจัง เพราะเป็นโครงการที่มี potential สูงที่ บพข. คาดหวังให้สำเร็จ เพราะคนไทยรอให้ประเทศเรามีรถไฟที่ทันสมัยแบบนี้มานาน ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากมักกลัวการทำ R&D เพราะต้องใช้เงินลงทุนและมีความเสี่ยง ดังนั้น บพข. จึงต้องเข้ามาช่วยในส่วนนี้ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทำ R&D โดยมีการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนักวิจัย อาจารย์จากมหาวิทยาลัย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะ R&D คือสิ่งสำคัญต่อการสร้างองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการและประเทศของเรา ซึ่งโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าเขาทำได้ ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าองค์ความรู้และความสามารถของคนไทยไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่น แต่ว่าเอกชนไทยทุกวันนี้ยังขาดโอกาส ขาดการสนับสนุน บพข. ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐจึงเข้ามาช่วยในส่วนนี้ คณะกรรมการและผู้เชี่ยวชาญใน บพข. ได้คุยกันว่าเราต้องช่วยเหลือภาคเอกชนไทยอย่างจริงจัง ต้องทำงานเหมือนเป็นทีมเดียวกัน รับผิดชอบด้วยกัน จึงเป็นผลให้โครงการสำเร็จได้”

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เผยถึงแผนการนำรถไฟต้นแบบไปใช้งานจริงในกิจการของ รฟท. ว่า “รฟท. ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการวิจัยนี้ตั้งแต่ต้น เราเห็นตั้งแต่โครงสร้างแรก และเรื่องของความปลอดภัยในการให้บริการผู้โดยสาร ซึ่งเป็นสาระสำคัญ โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการส่วนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เราอยู่ในขั้นของการทดสอบบนทางรถไฟจริงสำหรับการให้บริการ หากผ่านการทดสอบตรงนี้แล้วก็จะสามารถนำไปใช้จริงได้ ในส่วนของแผนการเดินรถในอนาคตอาจต้องมีการทำแผนการจัดจำนวนที่นั่งและการจัดรูปแบบก่อนว่าจะเป็นอย่างไร โครงการนี้เป็นต้นแบบซึ่งทาง รฟท. และทีมวิจัยมีความคาดหวังที่จะลองหลาย ๆ รูปแบบเพื่อให้รู้ว่าวิธีไหนที่จะเหมาะสมกับผู้โดยสาร เช่น ผู้โดยสารระยะกลาง หรือผู้โดยสารระยะไกล โดยเราอาจนำไปลองกับผู้โดยสารระยะกลางก่อน สังเกตุว่ารถที่เราออกแบบมาจะเป็นกึ่งรถนอน คือเป็นรถที่มีที่นั่งสบาย ๆ ซึ่งจะสอดคล้องกับรางคู่ระยะกลางที่มีระยะทางประมาณ 500 กม. นอกจากนี้จุดเด่นของรถขบวนชุดนี้ยังเป็นขบวนที่มีความเงียบเนื่องจากไม่มีตัวเครื่องยนต์ปั่นไฟในตัวรถ ซึ่งเป็น concept ที่ รฟท. ใช้อยู่ จึงสามารถนำต้นแบบนี้ไปปรับใช้ได้ โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราสามารถประกอบตัวรถไฟที่มีชิ้นส่วนภายในประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เราสามารถใช้ local content ภายในประเทศได้มากยิ่งขึ้น”

นายเมธัส เลิศเศรษฐการ กรรมการผู้จัดการ กิจการร่วมค้า ไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด ได้เผยถึงเหตุผลที่ร่วมลงทุนในโครงการนี้ว่า “โครงการนี้เป็นการตอบคำถามอย่างเป็นที่ประจักษ์ว่าเราทำได้จริง และเชื่อว่าไม่ใช่แค่ไซโนเจน-ปิ่นเพชรที่ทำได้ ประเทศเรามีอีกหลายบริษัท ทั้งที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าไซโนเจน-ปิ่นเพชร แต่มีศักยภาพ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาร่วมโครงการนี้คือการที่รัฐบาลได้ลงทุนกับระบบรางกว่าแสนล้านบาท ทำให้มีความต้องการรถไฟเพิ่มขึ้น แต่ว่าเราต้องซื้อตัวรถเข้ามาจากต่างประเทศเนื่องจากยังไม่สามารถผลิตเองได้ ทำให้สุดท้ายก็จะกลายเป็นต่างชาติขายได้อย่างเดียว ทำให้รู้สึกว่าเราต้องเสียโอกาสในส่วนนี้ไปหากไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นทางไซโนเจน-ปิ่นเพชรกับทีมวิจัยจาก สจล. จึงร่วมมือกันทำโครงการนี้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจาก รฟท. เขาได้เห็นว่ามีทั้งนักวิจัยที่เก่งๆ มีทั้งอาจารย์เก่ง ๆ ในประเทศเราที่มาร่วมกันและได้ทำสิ่งนี้ขึ้นมาจนสำเร็จ ทั้งยังผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับสากล ซึ่งความปลอดภัยนั้นเป็นหัวใจหลักของรถโดยสาร สิ่งที่เราได้จากโครงการนี้คือเราได้มีโอกาสลองทำและทำได้สำเร็จ ซึ่งมันยิ่งทำให้ลูกค้าที่ทำงานโดยใช้ระบบรางได้เห็นว่ามีผู้ประกอบการไทยสามารถทำเรื่องนี้ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างชาติแพง ๆ ซึ่งกว่าจะจบโปรเจคต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในส่วนนี้ แต่เรามีคนไทยที่ทำได้ และเราจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเอง ตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นเมียนมาร์ เวียดนาม และมาเลเซีย สามารถสร้างรถจักรเองได้แล้ว แต่ประเทศไทยเรายังต้องซื้อจากต่างประเทศอยู่ ซึ่งคิดเป็นงบประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท ส่วนตัวมองว่าการซื้อเป็นเพียงค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ยังมีค่าอะไหล่ ค่าซ่อมบำรุงตามมาอีก เราจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ และโครงการนี้เราได้ร่วมกันกับทีมวิจัยสร้างทุกชิ้นของตัวรถไฟ ซึ่งแน่นอนว่าเราจะต้องซ่อมเองได้ ถ้าเราทำเองเราจะได้เพิ่มพูนองค์ความรู้และองค์ความรู้นั้นก็จะอยู่กับเรา เราสามารถที่จะซ่อมบำรุงเองได้ ซึ่งแน่นอนกว่างบประมาณส่วนนี้ก็จะลดลงด้วยเช่นกัน และโครงการนี้ก็ได้เพิ่มพูนองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการแบบเราได้อย่างมากมาย”

การพัฒนารถไฟโดยสารต้นแบบในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการของ “การพึ่งพาตนเอง” ภายใต้ความร่วมมือของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจากแผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต ของหน่วยบริหารและจัดการด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ บริษัท กิจการร่วมค้า ไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด ที่ทำงานร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยมีการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนข้อมูล การทดสอบ และเป็นผู้นำผลงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ต่อไป ความสำเร็จของโครงการนี้จะช่วยใหเประเทศประหยัดค่าใช้จ่ายซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50% เมื่อเทียบกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งยังช่วยยกระดับอุตสาหกรรมขนส่งทางรางของไทย ให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสนองตอบต่อความต้องการของผู้ใช้งาน และมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล

Leave a reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *